วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาบทที่ 5 ตัวอย่างและผลงาน

เนื้อที่ 5 ตัวอย่างปละผลงาน


นำเสนองานการสอน phonics

                                      




การสอบสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย




รับคำศัพท์จากกลุ่ม SKY







งานสัปดาห์ที่ 4 Sing and Danc 
เพลง London Bridge



งานหาคำศัพท์จากตัวอักษรภาษาอังกฤษ





กลุ่มสามช่า







เนื้อหาที่ 4 เทคนิคการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

เนื้อหาที่ 4 เทคนิคการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย


เทคนิคการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
                ในยุคที่ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของคนไทยมากขึ้น เชื่อว่า พ่อแม่ทุกๆคนอยากให้ลูกใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นและใช้ได้ดี แต่การจะพัฒนาทักษะทางภาษาให้ลูกอย่างได้ผลนั้น หลายๆท่านอาจมีคำถามว่า แล้วจะให้ลูกเริ่มเรียนเมื่อไรถึงจะใช้ได้ดี และใช้ได้เป็น วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากสถาบันสอนภาษาพิงกุมาฝากเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านกัน
      “ เด็กวัยนี้เรียนรู้ด้วยวิธีการซึมซับจากตัวแบบ ดังนั้นถ้าครูพูดภาษาอังกฤษกับเด็กในชั้นเรียนสม่ำเสมอหรือคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาอังกฤษที่บ้านเป็นประจำเด็กก็จะเรียนรู้และมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีได้ไม่ยาก 

      สำหรับปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยท่านนี้ บอกว่า เด็กต้องสนุกกับการเรียน เช่น คุณครูใช้สื่อการสอนหลากหลายชนิด จัดรูปแบบกิจกรรมให้เด็กมีทางเลือก และพัฒนาความฉลาดที่หลากหลายตามแนวคิดของทฤษฎีพหุปัญญา เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับสื่อการสอน กับครู กับเพื่อนๆในชั้นเรียนตลอดเวลา ไม่มีการท่องศัพท์ ไม่มีความเครียด มีแต่ความสนุกสนาน
      “ทฤษฎีพหุปัญญา คือ ทฤษฎีทางปัญญา ที่เชื่อว่า คนเราแต่ละคนมีความสามารถทางปัญญาหลากหลาย มีทั้งหมด 8 ด้าน คือ ด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย ด้านภาษา ด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการรู้จักตนเอง ด้านดนตรี ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งครูสามารถนำแนวคิดไปประยุกต์เพื่อจัดกิจกรรมให้เด็กพัฒนาปัญญาได้หลายด้าน

      “เนื่องจากเรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พ่อแม่ผู้ปกครองควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษตามวัยที่เหมาะสม และตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน แต่ไม่ควรคาดหวังการเรียนรู้ของเด็กสูงเกินไป เพียงแต่ให้เด็กได้ทำความรู้จักกับภาษา เกิดความชอบ ความคุ้นเคย เรียนอย่างสนุกสนาน และอยากไปโรงเรียน เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับเด็กปฐมวัยแล้ว
      ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาล  ตั้งแต่เอบีซี มีแบบฝึกคัดพยัญชนะ A-Z เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อักษรภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งคำศัพท์ที่ควรเรียนรู้เป็นเบื้องต้น การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาล ควรเน้นที่คำศัพท์พื้นฐาน และประโยคง่ายๆ ก็พอครับ สังเกตจากการเรียนรู้ภาษาของเด็กๆจะเริ่มจากคำศัพท์ก่อนเป็นเบื้องต้น ตามด้วยวลีง่ายๆ และประโยคสมบูรณ์ท้ายที่สุด
การส่งเสริมทักษะทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
      ปฐมวัยเรียนรู้ภาษาจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อนเพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐานทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยากรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษา
      1.ทฤษฎีความพึงพอใจแห่งตน (The Autism Theory หรือ Austistic Theory) ทฤษฎีนี้ถือว่า การเรียนรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเลียนเสียงอันเนื่องจากความพึงพอใจที่ได้กระทำเช่นนั้น โมว์เรอร์ (Mower) เชื่อว่า ความสามารถในการฟัง และความเพลิดเพลินกับการได้ยินเสียงของผู้อื่นและตนเองเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการทางภาษา
      2.ทฤษฎีการเลียนแบบ (The Imitation Theory) เลวิส (Lawis) ได้ศึกษาและ

เชื่อ ว่า พัฒนาการทางภาษานั้นเกิดจากการเลียนแบบ ซึ่งอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการได้ยินเสียง การเลียนแบบของเด็กเกิดจากความพอใจ และความสนใจของตัวเด็กเอง ปกติช่วงความสนใจของเด็กนั้นสั้นมากเพื่อที่จะชดเชยเด็กจึงต้องมีสิ่งเร้าซ้ำ ๆ กัน การศึกษากระบวนการในการเลียนแบบภาษาพูดของเด็กพบว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่เลียนแบบเสียงของเด็กในระยะเล่นเสียงหรือในระยะที่เด็กกำลังเรียนรู้การออกเสียง

      3.ทฤษฎีเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีนี้อาศัยจากหลักทฤษฎีการ เรียนรู้ซึ่งถือว่าพฤติกรรมทั้งหลายถูกสร้างขึ้น โดยอาศัยการวางเงื่อนไข ไรน์โกลต์ (Rhiengold) และคณะได้ศึกษาพบว่าเด็กจะพูดมากขึ้นเมื่อได้รางวัล หรือได้รับการเสริมแรง
      4.ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of Perception) ลิเบอร์แมน (Liberman) ตั้งสมมติฐานไว้ว่า การรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง จึงเห็นได้ว่า เด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูดด้วย การทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟัง และพูดซ้ำกับตัวเอง หรือหัดเปล่งเสียง โดยอาศัยการอ่านริมฝีปาก แล้วจึงเรียนรู้คำ
     
      5.ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble Buck) ซึ่งธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นผู้คิดโดยอธิบายว่า เมื่อเด็กกำลังเล่นเสียงอยู่นั้น เผอิญมีเสียงบางเสียงไปคล้ายกับเสียงที่มีความหมาย ในภาษาพูดของพ่อแม่ พ่อแม่จึงให้การเสริมแรงทันที ด้วยวิธีนี้จึงทำให้เด็กเกิดพัฒนาการทางภาษา
      6.ทฤษฎีชีววิทยา (Biological Theory) เล็นเบิร์ก (Lenneberg) เชื่อว่า พัฒนาการทางภาษามีพื้นฐานทางชีววิทยาเป็นสำคัญ กระบวนการที่คนพูดได้ขึ้นอยู่กับอวัยวะในการเปล่งเสียง เด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ และพูดได้ตามลำดับ
      7.ทฤษฎีการให้รางวัลของพ่อแม่ (Mother Reward Theory) ดอลลาร์ด (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller) เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้ โดยย้ำเกี่ยวกับบทบาทของแม่ในการพัฒนาภาษาของเด็กว่า ภาษาที่แม่ใช้ในการเลี้ยงดูเพื่อเสนอความต้องการของลูกนั้น เป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาษาพูดแก่ลูก

ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาล
                Jolly Phonics คือ วิธีการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ สามารถออกเสียง อ่านออกและเขียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพและสนุกสนานกับการเรียนในขณะเดียวกัน ระบบการสอนนี้จะเน้นให้เด็กๆ เรียนรู้เสียงของตัวอักษร ผ่านการแสดงท่าทางด้วยสื่อหลากหลาย เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองอย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ได้คือ เด็กๆ จะสามารถอ่านออกและเขียนได้ตั้งแต่ยังเล็ก
                เด็กๆ จะได้เรียนรู้เสียงของตัวอักษรต่างๆ ซึ่งสามารถเปล่งเสียงออกมาได้แตกต่างกัน 42 เสียง จากการแสดงท่าทางประกอบเรื่องราวหรือนิทานที่น่าสนใจ ทำให้เด็กๆ สนุกไปกับการเรียนและสามารถจดจำเสียงของตัวอักษรต่างๆ ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งนี้เด็กๆ ยังจะได้เรียนรู้การผสมเสียงเพื่อสร้างเป็นคำต่างๆ ได้มากมาย  การเรียนด้วยวิธีการนี้จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนของเด็กๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งที่เด็กจะเรียนรู้
                - เรียนรู้การอ่าน เขียน และการออกเสียงผ่านการสอนแบบ Jolly Phonics ที่ทั้งสนุกและมีประสิทธิภาพต่อการกระตุ้นการเรียนรู้ทางภาษาของเด็กอนุบาล
                - ฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษอย่างสนุกสนาน ผ่านหลากหลายกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น การเล่นเกมส์ การร้องเพลง หรือการทายคำศัพท์
                - เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และหลักการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องผ่านการฟังนิทานและเรื่องเล่าสำหรับเด็ก
                - สนุกสนานกับการเรียนภาษาอังกฤษในบรรยากาศที่เป็นมิตร เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ

เนื้อหาบทที่ 3 กับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย

เนื้อหาบทที่ 3 กับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย

ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญในการสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งในอดีตการเรียนรู้ภาษาไทยเพียงภาษาเดียวอาจเพียงพอต่อการสื่อสาร แต่ในปัจจุบันนี้การรู้ภาษาไทยเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากโลกได้มีการสื่อสารและมีการใช้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เช่น อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ทำให้โลกแคบลงและมีการสื่อสารที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านวังน้ำเขียวได้ตระหนักถึงความสำคัญในการให้โอกาสในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแก่เยาวชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการศึกษาเรื่องของการพัฒนาการของสมอง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเด็กเล็ก หรือที่เรียกว่า เด็กปฐมวัยเป็นช่วงโอกาสที่ดีในการพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะด้านภาษา เป็นช่วงที่เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด ตามทฤษฎีของ Brain Based Learning ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Window of Opportunity หรือหน้าต่างแห่งโอกาสการเรียนรู้ แต่สิ่งที่สำคัญในการสร้างทักษะ ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าวิธีการที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน และเป็นผลบวกต่อทัศนคติการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นรากฐานให้เกิดการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงจัดให้มีการจัดกิจกรรมและจัดประสบการณ์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับเด็กปฐมวัยขึ้น โดยมีภาษาอังกฤษวันละคำให้เด็กได้เรียนรู้คำภาษาอังกฤษจากภาพที่น่าสนใจ และเป็นคำภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยและพบในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเด็กเล็ก คำที่ครูสอนให้เด็กได้เรียนรู้จะเป็นคำภาษาอังกฤษที่สั้น ๆ ง่าย เพื่อส่งเสริมการจดจำให้กับเด็ก สอนบทสนทนาโต้ตอบสั้น ๆ การทักทาย และการบอกชื่อ โรงเรียนของตนเอง นอกจากนี้ครูได้เชิญวิทยากรชาวต่างชาติมาพบปะพูดคุยกับเด็ก เพื่อให้เด็กเห็นความแตกต่างของของคนไทยและชาวต่างชาติอย่างแท้จริง อาจเป็นในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา สีผิว สีผม การแต่งกาย การใช้ชีวิตประจำวัน และภาษาในการพูดของไทย และชาวต่างชาติ เด็กก็จะได้ซึมซับและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เด็กได้เห็น สำหรับเด็กเล็กบางคนอาจไม่เคยเห็นชาวต่างชาติก็ได้เห็น เด็ก ๆ ชอบการเรียนภาษาอังกฤษมากพูดและจดจำได้ดี เด็ก ๆ ตื่นเต้นที่ได้พบชาวต่างชาติ และไม่คิดว่าเป็นบุคลแปลกหน้าสำหรับพวกเขาเลย ครูคิดว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน เพราะชาวต่างชาติได้แวะเวียนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้เด็กเล็ก และคนไทยทั้งประเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อมีโอกาส ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้าน วังน้ำเขียวอยากเชิญชวนให้ชาวไทยทุกท่านช่วยสร้างเยาวชนตัวน้อยในวันนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าที่เก่งภาษาอังกฤษเพื่อนำประเทศไทยให้ก้าวล้ำเท่าเทียบประเทศอื่น

ตัวอย่างบทเรียนสำหรับเด็กอนุบาล

ตัวอย่างบทเพลงสนุกๆและน่ารักๆ

ตัวอย่างนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก

สรุป
          ภาษาอังกฤษถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะความสามารถของเด็กในวัยนี้ ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษตามวัยที่เหมาะสมและตามศักยภาพของแต่ละบุคคลให้เด็กได้ทำความรู้จักกับภาษา เกิดความชอบ ความคุ้นเคย เรียนอย่างสนุกสนาน อยากเล่นกับเพื่อนและอยากเจอเพื่อนที่โรงเรียนมากยิ่งขึ้น


เนื้อหาบทที่ 2 ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย

เนื้อหาบทที่ 2 ภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย

1.      หลักการ แนวคิด เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
กีเซล (Gesell)

•  พัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอน เด็กควรพัฒนาไปตามธรรมชาติไม่ควรเร่งหรือบังคับ

•  การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นจากการ การเคลื่อนไหว การใช้ภาษา การปรับตัวเข้าสังคมกับบุคคลรอบข้าง

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

• จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ

• ให้เด็กได้เล่นกลางแจ้ง

• จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ฝึกการใช้มือและ ประสาทสัมพันธ์มือกับตา

• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟัง ได้พูดท่องคำคล้องจอง ร้องเพลง ฟังนิทาน

• จัดให้เด็กทำกิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่ม


ฟรอยด์ (Freud)
ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคลิกภาพ ของคนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ จะเกิดอาการชะงัก พฤติกรรมถดถอย คับข้องใจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

•  ครูเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งการแสดงออก ท่าทีวาจา

•  จัดกิจกรรมเป็นขั้นตอน จากจ่ายไปหายาก

• จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเพื่อส่งเสริมพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก


อีริคสัน (Erikson)
• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด็กพอใจ ประสบผลสำเร็จ เด็กจะมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น

• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่พอใจจะมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ไว้วางใจผู้อื่น

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

•  จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จ พึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน เพื่อนครู

•  จัดบรรยากาศในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ


เพียเจท์ (Piaget)
• พัฒนาการทางด้านเชาว์ปัญญาของเด็กเกิดจากการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเด็ก มีการรับรู้จากสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และมีการปรับขยายประสบการณ์เดิม ความคิดและความเข้าใจให้ขยายมากขึ้น

• พัฒนาการของเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี)

1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหววัย 0 – 2 ปี เด็กเรียนรู้ทุกอย่างทางประสาทสัมผัสทุกด้าน

2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการวัย 2 – 6 ปี เริ่มเรียนภาษาพูดและภาษาท่าทางในการสื่อสารยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คิดหาเหตุผลไม่ได้จัดหมวดหมู่ได้ตามเกณฑ์ของตนเอง

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัส ทั้ง 5

•  จัดให้เด็กฝึกฝนทักษะ การสังเกต การจำแนก เปรียบเทียบ

• จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสคิดหาเหตุผลเลือก และตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง

• จัดให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัว และมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม


ดิวอี้ (Dewey)
• เด็กเรียนรู้โดยการกระทำ

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียนเพื่อน ครู

• จัดบรรยากาศในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ


สกินเนอร์  (Skinner)
• ถ้าเด็กได้รับการชมเชย และประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม เด็กสนใจที่ทำต่อไป

• เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนใคร

การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก

• ให้แรงเสริม เช่น ชมเชย ชื่นชม เมื่อเด็กทำกิจกรรมประสบผลสำเร็จ

•  ไม่นำเด็กมาเปรียบเทียบแข่งขันกัน


เปสตาลอสซี่ (Pestalozzi)
• ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

• เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน ทั้งด้านความสนใจความต้องการ และระดับความสามารถในการเรียน

• เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เรียนรู้ด้วยการท่องจำ


การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม ให้ความรักให้เวลา และให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์
เฟรอเบล (Froeble)
• ควรส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรี
• การเล่นเป็นการทำงานและการเรียนรู้ของเด็ก
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเสรี

2.      ความหมาย ประโยชน์ ของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยหมายถึง
      การศึกษาปฐมวัยคือการจัดการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาการในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง8ขวบหรือชั้นประถมศึกษาปีที่3การจัดการเด็กในที่นี้รวมถึงการจัดการศึกษาทางเป็นทางการ(formal group settings )และการจัดการศึกษาแบบไม่เป็นทางการ(informal group  settings)เพราะการเรียนรู้ของเด็กในช่วงวัยดั้งกล่าวถือเป็นรากฐานของการเรียนรู้ในอนาคต


ความสำคัญของการศึกษาปฐมวัย
    ความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยคือการที่ครูจะสอนได้ดีนั้นจำเป็นต้องศึกษาเด็ก ยิ่งกว่านั้นงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการทางสมองมนุษย์ยั้งเน้นความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยโดยเฉพาะในช่วงของ5 ของปีแรกของชีวิตว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้ และเด็กจำเป็นต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้ดูแลตั้งแต่แรกเกิดโดยการให้ความรัก การโอบกอด สัมผัส พูดคุย และเล่นกับเด็กเพื่อให้สมองของเด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ตามศักยภาพ การเข้าใจพัฒนาเด็กส่งผลดีต่อครูผู้สอนหลายประการ ผลดีประการหนึ่งคือ ช่วยให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ยังสามารถวางแผนหลักสูตร การเรียนการสอนได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนได้มากขึ้นศักยภาพ การเข้าใจพัฒนาเด็กส่งผลดีต่อครูผู้สอนหลายประการ ผลดีประการหนึ่งคือ ช่วยให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ยังสามารถวางแผนหลักสูตร การเรียนการสอนได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนได้มากขึ้น
     เมื่อตระหนักว่าเด็กมีความสำคัญต่อประเทศ ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง หรือที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเด็กได้ปฏิบัติต่อเด็กสมกับความสำคัญของเขาหรือยัง โดยเฉพาะพ่อแม่ ครู อาจารย์ เพราะว่าเด็กที่เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้นต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีควบคู่กันไปถือว่าการอบรมเลี้ยงดูนั้นมีความสำคัญมาก
   สรุปความหมายและความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยเป็นของตนเอง

        ความหมาย   การจัดการเรียนการสอนของการศึกษาปฐมวัยเป็นการจัดการศึกษาเพื่อเป็นการสอนเด็กปฐมวัยให้เกิดความรู้ในการอ่านภาษาอังกฤษ และเป็นการสื่อสารให้เด็กได้รักในการอ่านมากขึ้น

เนื้อหาบทที่1 การออกเสียงภาษาอังกฤษ

เนื้อหาบทที่ 1 การออกเสียงภาษาอังกฤษ

1. คำที่ลงท้ายด้วย -OUS
จากเดิมที่เราออกเสียงว่า “อัส” ให้เปลี่ยนเป็น “เอิ่ส” (เสียงต่ำลงมาอีกหนึ่งสเต็ป) เช่น Famous จากเดิม เฟ-มัส เปลี่ยนเป็น เฟ๊-เหมิ่ส (พยางค์สองเสียงต่ำลงมาหนึ่งสเต็ป) หรืออีกคำ Dangerous จากเดิม แดน-เจอ-รัส เปลี่ยนเป็น แด๊น-เจอะ-เหริส
2. คำที่ลงท้ายด้วย -ing
ส่วนใหญ๋คำกริยา เรามักจะออกเสียงว่า “อิ้ง” ให้ลดเสียงลงมาอีกหนึ่งสเต็ป เป็น “อิ่ง” เช่น Going เดิมออกเสียง โก-อิ้ง ไม่เอาแล้ว! ให้เปลี่ยนเป็น โก๊-อิ่ง, Reading จากเดิม รี๊ด-ดิ้ง เปลี่ยนเป็น รี๊ด-ดิ่ง, Comimg จากเดิม คัม-มิ้ง ขอออกเสียงสำเนียงเลิศๆ ว่า คั๊ม-หมิ่ง
3. คำที่ลงท้ายด้วย -ture
ออกเสียงผิดกันประจำ ปกติคนไทยออกเสียง “เจ้อร์” ให้เปลี่ยนให้ถูกต้องเป็น “เฉ่อร์” เช่น Picture เดิม พิค-เจ้อร์ เปลี่ยนเป็น พิค-เฉ่อร์ อย่างไปที่รังสิตต้องเจอ Future ไม่เอา ฟิว-เจ้อร์ แล้ว ออกเสียงเก๋ๆ เป็น ฟิว-เฉ่อร์ เลิศค่ะ!!!
4. คำที่ลงท้ายด้วย -ly หรือ -ry
ที่เราจะออกเสียงว่า “ลี่” (จริงๆ ตัว R กับ L ถ้าให้ออกเสียงให้ถูกต้อง ต้องว่ากันยาว) ให้เปลี่ยนเป็น “หลี่” แทน เช่น Ferry เดิมออกเสียง เฟอ-รี่ เปลี่ยนเป็น เฟ-หรี่ รับรองเหมือนฝรั่งเด๊ะ!
5. คำที่ลงท้ายด้วย -tion
ปกติเราออกเสียงว่า “ชั่น” ให้เปลี่ยนเป็น “เฉิ่น”แทน เช่น Position เดิมคือ โพ-ซิ-ชั่น เปลี่ยนเป็น โพ-ซิ-เฉิ่น , Partition เดิม พาร์-ทิ-ชั่น เปลี่ยนเป็น พาร์-ทิ-เฉิ่น หรือคำยาวๆ เช่น Reputationw ไม่ออกเสียง เรพ-พิว-เท-ชั่น ให้พูดว่า เรพ-พิว-เท-เฉิ่น
6.คำที่ลงท้ายด้วย -ile
ปกติเราจะออกเสียงแค่พยางค์เดียว “อายล์” แต่ถ้าจะออกให้สำเนียงเป๊ะเว่อร์ ต้องออกเสียง 2 พยางค์ว่า “อายล์-เอิว์ล” เช่น Smile เดิมออกเสียง สะ-มายล์ เปลี่ยนเป็น “สะ-มายล์-เอิว์ลล” ใครได้ยินต้องร้องโอ้โห!!
7. คำที่ลงท้ายด้วย -er หรือ -or
ที่เรามักออกเสียงกัน “เอ้อ” เปลี่ยนละ ลดคีย์ลงหนึ่งสเต็ป ให้ออกเสียงว่า “เอ่อร์” แทน เช่น Farmer เดิมออกเสียง ฟาร๋ม-เม้อ เปลี่ยนนิดเดียวเป็น ฟาร๋ม-เหม่อร์, Tutor ถ้าสำเนียงไทยจัดๆ ออกเสียง ติว-เต้อร์ ลองเปลี่ยนให้ดีขึ้นมาอีกนิด ทิว-เท้อร์ หรือเอาให้สำเนียงเป๊ะเว่อร์ให้ออกเสียง ทิว-เถ่อร์ ( ลดคีย์พยางค์หลังลงหนึ่งสเต็ป)
8. คำที่ลงท้ายด้วย -ment
จากเดิมที่เราออกเสียงว่า “เม้นท์” ให้เปลี่ยนลดเสียงต่ำลงเป็น “เหม่นท์” แทน เช่นคำนี้ที่เจออยู่บ่อยๆ Comment จากเดิมเราอ่านว่า คอม-เม้นท์ ไม่เอาแล้ว! ให้เปลี่ยนเป็น “ค่อม-เหม่นท์”เก๋กว่าเยอะ
9. คำที่ลงท้ายด้วย -our
คนไทยมักออกเสียงผิด โดยการออกเสียงพยางค์เดียวว่า “เอาร์” จริงๆ ถ้าจะออกให้สำเนียงเป๊ะนั้นจะต้องออกเสียง 2 พยางค์ “เอ้า-เหว่อ” เช่น Sour เดิม เซาร์ เปลี่ยนเป็น เซ้า-เหว่อ, Hour เจอบ่อยๆ เลย เปลี่ยนจาก เอาร์ เป็น “เอ้า-เหว่อ”
10.คำที่ลงท้ายด้วย -um
ถ้าออกเสียงแบบปกติคือ “อั้ม” ซึ่งฟังพอเข้าใจ แต่ถ้าอยากให้สำเนียงเลิศแบบสุดติ่ง ต้องออกเสียงว่า “เอิ่ม” เช่น Forum จาก ฟอ-รั่ม เป็น ฟอ-เหริ่ม, Serum ที่เรามักออกเสียงผิดแบบหนักๆ กันว่า ซี-รั่ม จริงๆ ต้องออกเสียงว่า “เซีย-เหริ่ม”
11. คำที่ลงท้ายด้วย -sion
เชื่อว่าคนไทยเกินล้านคนออกเสียงว่า “ชั่น” ซึ่งที่ที่ควรต้องออกเสียงว่า “เฉิ่น” เช่น Mansion ไม่ใช่ แมน-ชั่น ต้องออกเสียงว่า แมน-เฉิ่น , Desicion ก็ไม่ใช่ ดี-สิ-ชั่น ต้องออกเสียงว่า ดิ-ซิ-เฉิ่น
12. คำที่ลงท้ายด้วย -ral
เรามักออกเสียงกันว่า “รัล” (เร่า) แต่จริงๆควรออกเสียงว่า “เริล” เช่น น้ำแร่ Mineral ไม่เอา มิ-เนอ-รัล ละให้เปลี่ยนเป็น มิ-เหน่อ-เริล
13. คำที่ลงท้ายด้วย -ire
ที่เรามักออกเสียงกันพยางค์เดียว “อาย” ให้ออกเสียงเป็น 2 พยางค์ “อาย-เย้อร์” เช่น Fire เดิมๆ เคยออกเสียง ฟาย ให้เปลี่ยนเป็น ฟาย-เย้อร์ หรือ Tire จากเดิม ทาย เปลี่ยนเป็น ทาย-เย้อร์ สำเนียงเป๊ะมาก!
14. คำที่ลงท้ายด้วย -el
คำนี้คนไทยออกเสียงผิดกันเยอะมาก เพราะชอบออกเสียงว่า “เอล” เช่น Model ออกเสียง โม-เดล ฝรั่งฟังแทบไม่ออกบอกเลย จริงๆ คำที่ลงท้ายว่า -el ไม่ใช่ “เอล” แต่เป็น “โอ็ล” ต่างหาก เช่น Model ออกเสียงว่า เม๊าะ-โด็ล , Level ไม่ใช่ เล-เวล ต้องออกเสียงว่า เล๊ะ-โฝว็ล
15. คำที่ลงท้ายด้วย -ant
(เฉพาะคำสองพยางค์ขึ้นไป) เดิมปกติเราออกเสียงว่า “แอ๊นท์” ให้เปลี่ยนเป็น “เอิ่นท์” เช่น Important จากเดิม อิม-พอ-แท๊นท์ ให้เปลี่ยนเป็น อิม-เพาะ-เทิ่นท์, Mutant เดิมออกเสียง มิว-แท๊นท์ ก็เปลี่ยนเป็น มิว-เทิ่นท์ หรือคำยาวๆ อย่าง Participant พา-ทิ-ซิ-แพ๊นท์ ก็แค่เปลี่ยนพยางค์สุดท้ายเป็น พา-ทิ-ซิ-เพิ่นท์
16. คำที่ลงท้ายด้วย -ger
ที่เรามักใส่กันสุดคำว่า “เจ้อร์” ให้เปลี่ยนเป็นแค่ “เจ่อะ” พอค่ะ เช่น Manager หลายคนอ่านกันว่า แม-เน-เจ้อร์ แต่ที่ถูกต้องคือ มะ-หนิด-เจ่อะ , Ledger ไม่ใช่ เล็ด-เจ้อร์ แค่ เล็ด-เจ่อะ พอแล้ววววว ..
17. คำที่ลงท้ายด้วย -om
เราออกเสียงกันแบบไทยสไตล์ว่า “อ้อม” แต่จริงๆ แค่ “เอิ่ม” ก็พอ เช่น รณรงค์ให้ใช้ถุงยาง Condom ทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ Condom มิใช่ คอน-ด้อม ออกเสียงแบบฝรั่งคือ ค๊อน-เดิ่ม , Random เปลี่ยนจาก แรน-ด้อม เป็น แรน-เดิ่ม , Bottom เดิมๆ คือ บ๊อต-ท่อม ต้องออกเสียงเป็น บ๊อต-เถิ่ม สำเนียงดีมากเลยนะ รู้ยัง!
18. คำที่ลงท้ายด้วย -ton (2 พยางค์ขึ้นไป)
ปกติชอบออกเสียงกันแบบไทยๆ ว่า “ต้อน” จริงๆ ออกเสียงแบบฝรั่ง ต้องออกว่า “เทิ่น” ต่างหาก! เช่น Cotton Bud เราออกเสียงกันว่า คัท-ตั้น-บัด จริงๆ ต้อง “คัท-เทิ่น-บัด” , Carton ก็ไม่ใช่ คาร์-ต้อน เปลี่ยนเป็น คาร์-เทิ่น
19.คำที่ลงท้ายด้วย -ure (บางคำ)
หลายๆ คำ เรามักเจอบ่อยๆ เช่น Pure, Cure, Secure ไรงี้ คำลงท้ายด้วย -ure เราชอบออกเสียงกันว่า “เอียว” เช่น Pure ออกเสียงว่า เพียว ซึ่งไม่ถูก (แต่ก็ไม่มาก ฝรั่งพอฟังออก) แต่ถ้าจะให้แบบถูกต้องก็คือ “พเยอร์” อ่านว่า พะ-เยอร์ ต้องควบคุมเสียงหรือออกเสียงเร็วๆ ให้เหมือนเป็นพยางค์เดียว ดังนั้น Cure ก็ไม่ใช่ เคียว ต้องเป็น คเยอร์ .. โอ้ว! สำเนียงไฮโซเว่อร์
20. คำที่ลงท้ายด้วย -us
โดยปกติเราชอบออกเสียงว่า “อัส” ไม่ก็ “อุส” แต่ถ้าจะให้เป็นสำเนียงฝรั่งจริงๆ ต้องออกเสียงว่า “เอิ่ส” เช่น Status เดิมๆ ออกเสียงว่า สะ-เต-ตัส เปลี่ยนเป็น สะ-เต-เทิ่ส, ปลาหมึกยักษ์ Octopus เราจะไม่ออกเสียงว่า อ๊อก-โต-พุส ต่อจากนี้ให้ออกเสียงว่า อ๊อก-เถอะ-เผิส

21. คำที่ลงท้ายด้วย -land
เจอปุ๊บ ออกเสียง “แลนด์” ปั๊บ! ซึ่งฝรั่งจะไม่ออกเสียงงี้ แต่เขาจะออกเสียงว่า “เลิ่นด์” เช่น Scotland ออกเสียงที่ถูกคือ สก๊อต-เลิ่นด์ , New Zealand ก็ออกเสียง นิว-ซี๊-เลิ่นด์ ยกเว้นคำว่า Thailand กับ Foodland นะจ๊ะ
22.คำที่ลงท้ายด้วย -en
เราชอบออกเสียงกันว่า “เอ้น” จริงๆ ต้องออกเสียงว่า “อึ่น” เช่น Garden เดิมๆ คือ การ์-เด้น แต่ถ้าจะเอาให้ฝรั่งเก็ทก็ต้องออกเสียงว่า การ์-ดึ่น , Kitten ลูกแมว ก็ไม่เอา คิท-เท่น ที่ดีงามต้องเป็น คิท-ทึ่น หรือ Kitchen ก็ไม่ คิท-เช่น ละต้องเป็น คิท-ฉึ่น
23. คำที่ลงท้ายด้วย -ard
(ตั้งแต่ 2พยางค์ขึ้นไป) เรามักออกเสียง “อาร์ด” กัน ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่! ฝรั่งออกเสียงกันว่า “เอิด” เช่น Wizard ไม่ใช่ วิ-สาร์ด ที่ถูกต้องคือ วิ-เสิด, จิ้งจก :Lizard ก็ไม่ใช่ ลิ-สาร์ด ออกเสียงเป็น ลิ-เสิด แม้กระทั่ง Standard จากเดิม สะ-แตน-ดาร์ด จริงๆ คือ สะ-แตน-เดิด
24. คำที่ลงท้ายด้วย -le
ที่เราออกเสียงกันแบบคุ้นปากตั้งแต่เด็กๆว่า “เอิ้ล” ซี่งจริงๆต้องพูดว่า “โอ็ล” แบบเสียงสั้นๆ เช่น Table ใครก็รุ็ว่าอ่านว่า เท-เบิ้ล แต่ที่ถูกก็คือ เท-โบ็ล, Double เปลี่ยนจาก ดับ-เบิ้ล เป็น ดึ่บ-โบ็ล , สายเคเบิ้ล Cable ก็ให้ออกเสียงใหม่เป็น เค๊-โบ็ล
25. คำที่ลงท้ายด้วย -ley
เราชอบออกเสียง “เล่” แต่ที่ถูกต้องคือ “ลี่” เช่น รถเข็น Trolley ก็ไม่ใช่ โทรล-เล่ ที่ถูกคือ ทรอ-หลี่, เพลง Medley ก็ไม่ใช่ เมดเล่ ต้องออกเสียงว่า เม็ด-ลี่ พยางค์แรกออกเสียงสั้นด้วยนะ
26. คำที่ลงท้ายด้วย -ian
ที่เรามักเจอในความหมายว่าเป็น “นัก” ต่างๆ แล้วชอบออกเสียงงว่า เชี่ยน ให้เปลี่ยนเป็น เฉิ่น จะสุดยอดกว่า! เช่น นักมายากล Magician ไม่ เม-จิก-เชี่ยน ละ เปลี่ยนเป็น เม๊-จิ-เฉิ่น , นักดนตรี Musician มิว-สิค-เชี่ยน เปลี่ยนเป็น มิว-ซิ-เฉิ่น
27. คำที่ลงท้ายด้วย -oil
ดูเหมือนไม่มีอะไร เพราะเราอ่าน “ออย” กันอยู่แล้ว แต่ที่จริงต้องออกเสียง 2 พยางค์ “ออย-เยิ่ล” เช่น น้ำมัน Oil ออกเสียงว่า ออย-เยิ่ล , soil ดิน ไม่แค่ ซอย แต่ต้อง ซอย-เยิ่ล , ต้มน้ำจนเดิอด boil ก็ต้อง บอย-เยิ่ล